Sunday, December 25, 2011

7 วันก็บรรลุอรหันต์ได้?

   เมื่อผมถึงคราวบวชหลังจากที่ต้องเลื่อนมาหนึ่งปีเนื่องจากมีการเปลี่ยนงานกะทันหัน จนอายุครบ 26 ปีบริบูรณ์ พอทำงานใหม่ครบ 1 ปีปุ๊บ ผมก็ใช้สิทธิลาอุปสมบททันทีโดยเลือกลาในช่วงเดือนธันวาคม เนื่องจากช่วงนี้งานค่อนข้างน้อย จะได้ไม่กระทบกันทีมตรวจมาก เป็นเดือนธันวา มีวันพ่อ และวันหยุด ทั้งยังใกล้ปีใหม่ เหมือนกับปีหน้าฟ้าใหม่จะได้พบกับสิ่งดีดีในชีวิต และประการที่สำคัญที่สุดคือเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา ที่ตอนนี้ยังพอที่จะไปวัดไหวอยู่ พ่อได้บอกฤกษ์ที่ไปปรึกษาพระที่วัดแล้วก็ปรากฎว่าได้บวชจริงแค่ 7 วัน คือ บวชในวันที่ 3 ธันวา สึกวันที่ 10 ธันวา ผมเองก็นึกในใจน้อยจังเนอะแค่อาทิตย์เดียวเอง แต่ก็ไม่เป็นไร หากเราตั้งใจทุกอย่างมันก็คงดีไม่ต่างกัน

 วันก่อนวันสิ้นเดือนนัดเจอเพื่อนที่เรียกว่าสนิทที่สุดแล้วมั้งมีกันอยู่ไม่กี่คนที่ Terminal 21 เนื่องจากจะร่วมอนุโมทนาบุญด้วย ก็ไปทานข้าวกัน ผมเองยังรู้สึกไม่ดียังไงไม่รู้ที่วันนั้นไม่ได้เลี้ยง เฮ้อ... รับบุญไปอย่างเดียวแล้วกัน อิอิ

  วันเวลาผ่านมาจนจะถึงวันบวช ผมเองก็อ่านหนังสือ พร้อมท่องบางบทเอาไว้ ตอนพี่ธีจริงและโหลดเสียงสวดมาเก็บไว้ฟังด้วย แม้จะยังจำบทท่องไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็พอที่จะรู้ขั้นตอนทั้งหมด วันที่ 30 พฤศจิกายน ก่อนที่ออกเดินทางกลับบ้านในวันที่ 1 พี่คม พี่ที่ออฟฟิศ ก็ได้จัดแจง พานดอกไม้ธูปเทียนให้ผม พร้อมทั้งพาไปกราบขอขมาผู้หลักผู้ใหญ่ในสำนัก ที่ทำงานด้วย มีปั้นเพื่อนที่สำนักคอยเก็บภาพแห่งความทรงจำให้ ผมเองก็รู้สึกดีนะ แม้จะเขินๆ อยู่บ้าง เพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้ รู้สึกขอบคุณพี่เค้าด้วยใจจริงที่ทำให้การบวชของผมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น พี่บีได้มอบหนังสือนวโกวาทและผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้ไปใช้ในพิธีด้วย พี่ๆน้องๆ เพื่อนๆ ก็ได้อนุโมทนาบุญมาด้วย

  ตีสี่วันที่ 1 ธันวา ผมรีบตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว เพื่อไปสนามบินให้ทันไฟลท์ตอน หกโมง เครื่องออกตอน หกโมงยี่สิบ แต่ดีหน่อยที่ผมทำเวบเช็คอินมาแล้ว การเดินทางครั้งนี้แม้จะเดินทางลำพัง ไม่มีพี่ๆของผมที่ติดภาระหลายๆ อย่างบ้านก็ยังน้ำท่วมอยู่ แต่ก็ได้ช่วยออกค่าใช้จ่ายต่างๆให้ผมมาแบบผมไม่ต้องออกอะไรเลย รู้สึกดีมาก 555 ไปยืนรอรถตู้ที่แยกบางนาแบบมืดๆ มีคนยืนรอด้วย สงสัยไปสนามบินเหมือนกัน สักพักรถก็มาแต่ดันไปจอดซะไกล ไอ้เราก็ไม่เห็นป้ายว่ารถไปไหน แต่เห็นคนอื่นวิ่งไปขึ้นแล้วเราจะช้าอยู่ไยวิ่งตามสิครับ 555 ปรากฎว่าใช่จริงๆด้วยแฮะ ค่ารถถูกมากกกก คิดถูกแล้วเรา แต่เพิ่งเคยเห็นคนโหนรถตู้ก็วันเนี้ย อัดกันเข้ามาซะเต็มดีนะที่เราขึ้นต้นทาง แสดงว่ารถมันคงมีน้อย คนที่ทำงานที่สนามบินคงไม่อยากรอนานกัน ก็มาถึงสนามบินแบบชิลชิล เราก็เดินไปหาเทอมินอล แม่เจ้าอยู่ซะไกล ตูลงประตูผิดนี่เอง เหอๆ แต่ดีที่ผมไม่ค่อยมีสำภาระอะไรอยู่แล้ว เป้เบาๆใบนึง ก็ผ่านด่านตรวจสบายๆ เดินหาเกทสักพักก็นึง เสือกปวดขี้อีกกู แต่เวลายังมีอีก 15 นาที โคล้ก....  สบายแล้วเรา 555 พอดีเป๊ะ

  เดินทางถึงสนามบินหาดใหญ่ตามเวลาแปดโมงกว่าๆ นั่งรถสองแถวเข้าเมืองกะว่าจะไปแวะตลาดกิมหยงและหาอะไรกินมื้อเช้า ปรากฎว่าช่างเลือกจริงๆ ไปกินร้านก๋วยเตี๋ยวที่เปิด DMC พอดิบพอดี บรรยากาศมันเป็นใจให้เราจริงๆ กลับถึงบ้านเอาเกือบบ่ายโมง เนื่องจากไปได้ไปรอบเก้าโมงครึ่ง แต่รถตู้ไปส่งถึงหน้าบ้านเลยเวิคมากก

  ก่อนวันบวชก็ไปที่วัดให้น้าหลวงหงวน ประเดิมตัดผมให้ ประเด็นมันอยู่ตรงที่ต้องถอดเสื้อนี่แหละ สาวใหญ่กรี๊ด ทำไมหลังแกลายได้เยี่ยงนี้ 555 ไอ้เราก็อายจนไม่อายไปเลย ไม่มีอะไรต้องอายอีกแล้ว แล้วกลับมาตัดกันต่อที่บ้าน ทุกๆ คนก็รุมกันใหญ่ หลังจากนั้น น้าเวียนช่างตัดผมประจำหมู่บ้านเชิงแส ก็ใช้บัตตะเลี่ยนรุนสองสามทีก็เกลี้ยงเกลา ผมเองรู้สึกประหลาดๆก็ตรงคิ้วนี่แหละ ไม่ค่อยจะชิน

  ในวันงานมีคณะกลองยาวที่แม่รับมา ตามที่ได้เคยบนเอาไว้ ว่าหากลูกสอบได้งานหลวงจะรับกลองยาว และรำรอบโบสก์ 555  แม่เราเอาจริง มีคนในหมู่บ้านบางคนก็มาร่วมรำด้วย บรรยากาศครึกครื้นใช่ย่อย พอบรรยากาศเริ่มได้ ผมเองรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก น้ำตาก็พาลจะไหลเอาให้ได้ เห็นพ่อกับแม่แล้วรู้สึกดีใจมากที่วันนี้มาถึงซะที

  วันนี้มีคนมาบวชพร้อมผม สี่คน ต่างคนก็ต่างไปจำวัดกันคนละที่ แน่นอนว่าผมเลือกวัดใกล้บ้าน ผมก็ปฏิบัติกิจของสงฆ์ไปตาม ปกติ ที่วัดมีพระแค่สี่รูป น้าหลวงหงวนเจ้าอาวาส น้าหลวงชา แล้วก็หลวงอ้อย ซึ่งแกเจ็บ ออดๆแอดๆ ออกไปอยู่กุฏิ ที่ไกลออกไปจากองค์อื่น ผมเองได้พบหน้าครั้งเดียวก็ตอนน้าหลวงชาให้นำของไปให้ ก็มีน้าหลวงชานี่แหละที่ฉันเช้าและเที่ยงกับผม และได้ปรึกษาธรรมอยู่บ้าง หลวงชาได้ให้หนังสือของท่านพุทธทาสมาหลายเล่มเพื่อศึกษาในระหว่างครองบรรพชิต ซึ่งผมพอที่จะสรุปเป็นประเด็นที่ผมสนใจในเจ็ดวันได้ดังนี้

  • สู่ความว่าง(สุญญตา) -> นิพพาน
  • ประพฤติพรหมจรรย์ให้สะอาดเหมือนสังข์ที่ขัดดีแล้ว (พรหมจรรย์ -> ศีล สมาธิ ปัญญา)
  • บอกวัตรสำหรับภิกษุมีชื่อดาว 27 ดวง
  • ไม่ดูถูกว่าเล็กน้อย
  • การฆ่าคนคือการไม่ยุ่งด้วย (ธรรมวินัย)
  • เกิดมาทำไม?
  • มนุษย์ที่มีความทุกข์ไม่เป็น (ลูกของพระพุทธเจ้า)
  • ฟืนและขี้เถ้า
  • มนต์มณิกา, มณิกามนต์
  • สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินีเวสาะย (พิมพ์แบบบาลีไม่ได้) สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันบุคคลไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวเราของเรา (หัวใจพระพุทธศาสนา)
  • สมรสคือมีความปรารถนา มีความต้องการที่ถูกต้อง แล้วร่วมเป็นอันเดียวกัน

โลก -> ทุกข์
เหตุให้เกิดโลก -> ตัวเหตุให้เกิดโลก
ความดับสนิทของโลก -> ความดับสนิทของความทุกข์
หนทางให้ถึงความดับสนิทของโลก -> วิธีทางทำให้ถึงความดับสนิทของความทุกข์
  • เวทนา (Feeling) สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์
  • นิวรณ์ (อวิชชามีนิวรณ์เป็นอาหาร)
  • กรรมดี กรรมชั่ว เป็นเรื่องศีลธรรมไม่ใช่พุทธศาสนา
  • ขันธ์ ๕
  • กรรม <- กิเลส <- ผัสสะ
  • เวทนา(ผล) <- ผัสสะ -> อายตนะข้างใน (หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ)
  •                                ->อายตนะภายนอก (รูป รส กลิ่น เสียง)
  • ภาษาคน - ภาษาธรรม(ไม่มีคน มีแต่ธรรมชาติ) 
  • ตนนั้นเป็นมายา ไม่ใช่คนจริง
  • ทำดี มันดีแน่ ทำชั่ว มันชั่วแน่ (อย่างอื่นผล)
  • ชั่วตาเห็นรูป นี่คือชาตินึง
  • ปฏิกิจจสมุปปันนธรรม คือ ธรรมชาติเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย
  • อวิชชาให้เกิดสังขาร   สังขารให้เกิดวิญญาณ
  • อายตนะเป็นเครื่องมือสำหรับกระทบ
  • ปฏิจจสมุปบาท
  • วิมุตติ ความรู้ที่จะช่วยให้ไม่เกิดความทุกข์
  • พรหมจรรย์นี้มีวิมุตติเป็นจุดที่หมายอานิสงค์
  • เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
  • ปัจจเวกขณ์ คือ เอาหัวใจของพระพุทธศาสนามาพิจารณา มาทำให้อยู่กับเนื้อกับตัวกับจิตใจ
  • พรหมจรรย์ คือ ประพฤติ ประเสริฐที่สุด  การประพฤติปฏิบัติทั้งหมดในพระศาสนา เพื่อไปนิพพาน
  • หลักกาลามสูตร
  • สามัญญลักษณะ (อนิจจัง ไม่เที่ยง, ทุกขัง ทุกข์, อนัตตา ไม่ใช่ตน)
      อิทัง โน ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตโย
 ขอเดชะตั้งจิตอุทิศผล               บุญกุศลนี้แผ่ไปให้ไพศาล
ถึงบิดามารดาครูอาจารย์            ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน
คนเคยร่วมกิจการงานทั้งหลาย   มีส่วนได้ในกุศลผลบุญฉัน
ทั้งเจ้ากรรมนายเวณและเทวัญ    ขอให้ท่านได้กุศลผลนี้ เทอญ


สำหรับเรื่องที่ผิดพลั้งเผลอไปบ้างระหว่างครองบรรพชิตคือ

  • เผลอร้องเพลง
  • ฟุ้งซ่าน คิดถึงผู้หญิง, งาน, ที่เที่ยว, ของฝาก, รูปถ่าย ...
  • ทำฝาบาตรหล่น
  • เก็บใบกล้วยแห้งมาเผา
  • จัดการปลวกที่ขึ้นในโบสถ์

   กิจวัตรระหว่างเป็นพระของผมส่วนใหญ่ก็ศึกษาพระธรรมวินัย และธรรมมะซะส่วนมาก นอนประมาณ สองทุ่มตื่นประมาณตีห้า อาบน้ำ ครองผ้า เตรียมตัวไปไปบิณฑบาตทุกเช้า ตอนหกโมงครึ่ง (ตอนวันพ่อไปบิณฑบาตที่วัดกลาง ของเยอะมาก ได้ซองมาด้วย 5555) มีไปช่วยน้าหลวงชา และเด็ก ทำความสะอาดวัดบ้าง แต่บรรยากาศในวันมันช่างเงียบสงบดีจริงๆ จนกระทั่ง มีงานศพเข้ามาวันหลังๆแล้ว ผมยังคงจำบทสวดไม่ค่อยจะได้อาศัยเปิดตำราอย่างเดียว T_T  มีอยู่คืนหนึ่งกีต้า เจ้าหลานตัวซนมานอนด้วยซะงั้น ผมก็เพิ่งรู้นะว่าหลานมันอยู่อนุบาล วัย ห้าหกขวบ มันบวกเลข ลบเลขได้แล้ว เก่งกว่ากูอีก 555  ตอนที่มีงานศพน้าหลวงชา แกจะให้ผมขึ้นสวดด้วย แกบอกกางตำราก็ได้ เป็นประสบการณ์ ไอ้เราก็เกรงใจญาติโยม เค้านะ แทนที่จะได้บุญกลัวจะได้บาปเสียมากกว่า ฮ่าๆ เลยปฏิเสธไป


   การได้พูดคุยกับน้าหลวงชาและเห็นกิจวัตรของแกที่เกี่ยวข้องกับเด็กๆ ทำให้ผมคิดไปเองว่า แกก็เป็นคนใช้ได้เหมือนกันนะ เลือกใช้ชีวิตเป็นพระในวัยหลังเกษียณได้ตามที่แกมุ่งหวังได้ดี แถมยังเข้าใจธรรมอย่างดีกว่าพระที่อายุมากๆ บวชมานานเสียอีก จะว่าไปผมเพิ่งเข้าใจคำว่าพระมาโปรดก็ตอนบวชนี่แหละ และเพิ่งรู้ว่าพระเค้าเคารพกันที่พรรษาว่ามากหรือน้อย โดยหากนับตามคนทั่วไปคือ 3 เดือน แต่หากนับแบบพระคือครบรอบปีวนมาถึงเข้าพรรษาคือครบรอบปี

   วันก่อนลาสิกขา จิตใจผมมันกระวนกระวาย ไม่เป็นสมาธิเหมือนวันอื่นๆ ผมก็อาศัย เดินวนไปมาในกุฏิเพื่อทำสมาธิก็พอช่วยได้บ้าง มีดนตรีจากงานศพในวัดมาช่วยเพิ่มจังหวะให้ พอถึงวันสึก ผมยังจำได้ดีตอนเก้าโมงเช้างานศพในวัดเปิดเพลงกระเป๋าแบนแฟนทิ้งและเพลงของจินตหรา มันช่างเข้ากับบรรยากาศเสียนี่กะไร

   อย่างน้อยการอุปสมบทของผมในครั้งนี้ก็ทำให้ผมเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง ว่าที่จริงแล้วการบวชของเรา เราไม่ได้ได้ฝ่ายเดียว ยังมีคนอีกมากมายที่ร่วมอนุโมทบุญกับเรา ทำให้เราพร้อมออกมาเผชิญโลกนี้อย่างเข้มแข็งต่อไป

ภาพ -> http://www.facebook.com/media/set/?set=a.2826045298605.2150379.1483223715&type=1&l=b827cb19ea
กระดาษจดบันทึกของผมระหว่างเป็นพระ


Friday, September 2, 2011

สิ่งที่อยากทำในชีวิต


  1. ท่องเที่ยวไปทั่วไทยและสัมผัสธรรมชาติให้มากที่สุด
  2. มีหนังสืออะไรก็ได้ของตัวเองสักเล่ม(กลอน, นิยาย ฯลฯ)
  3. เล่นกีต้าเป็น
  4. เรียนจบปริญญาโทเป็นอย่างน้อย
  5. เป็นคนที่สมบูรณ์ (ช่วยเติมเต็มสังคมนี้ ฯลฯ)
   เมื่อได้เกิดมา ก็พยายามเรียนรู้คุณค่าของความเป็นคนให้มากที่สุด สิ่งต่าง ๆ รอบกาย แม้ทำให้เราออกนอกลู่นอกทางไปบ้างแต่ก็จงกลับมาสู่วิถีทางของตัวเองให้เร็วที่สุด พึงสำนึกรู้ตัวอยู่เสมอ


Thursday, August 18, 2011

ห่างหายไปนาน

กลับมาแล้วครับ...

Wednesday, May 26, 2010

โค้กแห่งความทรงจำ...

วันนี้เป็นวันแรกที่ผมสามารถนั่งรถเมล์สาย 79 มาลงที่หน้าวัดประทุม แล้วเดินมาที่ออฟฟิศ หลังจากเหตุการณ์ไม่สงบในบ้านเมือง ลงจากรถปุ๊บก็เดินผ่านประตูวัด มีคนกำลังแจกเครื่องดื่มชา กาแฟ ให้คนที่เดินผ่านไป ผ่านมา ได้ดื่มกัน ผมก็ไม่ได้รับนะ ด้วยความที่รู้สึกว่าไม่ได้มาช่วยทำความสะอาดเมื่อวันก่อน แล้วก็กลิ่นควัน ไฟ ไหม้ ยังคงมีกลิ่นอยู่บ้าง คงจะกินไม่ลงซักเท่าไหร่ ก็เดินต่อมา ถึง เซ็นทรัลเวิล ที่ผ่านอยู่ประจำ แต่ทำไมวันนี้สภาพมันทำให้ผมน้ำตาซึมจนต้องกลั้นไม่ให้มันไหลออกมา (แบบว่าแมนอีกตามเคย ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้) ก็เห็นมีคนมาเดินถ่ายรูปอยู่บ้าง ผมก็คิดในใจว่า อยากจะถ่ายอยู่หรอก แต่พอนึกอีกทีคงไม่ใช่ภาพที่อยากจะเก็บสักเท่าไหร่ อีกทั้งภาพข่าวทั่วไปก็มีให้เห็นเยอะมาก เลยขอผ่านดีกว่า มาถึงทางขึ้นบันได ที่จะข้ามไปฝั่งโรงพยาบาลตำรวจ ตอนนี้ยังปิดไม่ให้ขึ้นอยู่ ผมต้องเดินมาข้ามตรงสี่แยก รถติดไฟแดงพอดี เลยเดินผ่านมา ฝั่งตรงข้ามก็เห็นเจ้าหน้าที่ และคนทั่วไป ยังคงช่วยกันเก็บกวาด และ จัดการเรื่องสถานประกอบการณ์ เพื่อจะได้เปิดบริการได้ในเร็ววัน ร่องทางระบายน้ำก็เหมือนมีร่องรอยการ สำรวจหาวัตถุอันตรายต่างๆ ให้เห็น ศูนย์ประชาสัมพันธ์ของกทม ที่เป็นเหมือนตู้ย่อมๆ ยังไม่ทันได้เปิดใช้ก็โดนทุบกระจกแตกซะแล้ว มีป้ายข้อความเขียนว่า "ห้ามเข้าเด็ดขาด" เออก็เห็นอยู่ว่ามึงปิด คนธรรมดาทั่วไปคงไม่มีใครเข้าอะ เดินมาเรื่อยๆ ต้นไม้ข้างทางเท้าก็เฉาเฉาพิกล ก็มาถึง ทางขึ้น BTS ราชดำริ สักที บันไดทางขึ้น ด้านนี้ปิดให้บริการอยู่ ยังมีรอยดำไหม้จากไฟ ให้เห็น ผมต้องเดินไปข้าม อีกทางนึง (ปกติก็ใช้บันได้ที่สองอยู่แล้ว เนื่องจากพอลง จะตรงกับปากซอยออฟฟิศพอดี) เดินขึ้นมาบน BTS ร้านกาแฟร้านเดิมก็ยังปิดอยู่(จริงๆ ผมไม่เคยซื้ออะ ไม่ชอบกินกาแฟ .... ข้ออ้างของคนไม่มีตังค์ อิอิ) เดินลงมาถึงปากซอยก็มีคนถือโค้กมาแจก โค้กเย็นๆ ไหมครับ เสียงผู้ชายคนนั้นร้องบอกคนที่เดินผ่านไปมา แล้วก็ส่งมาให้ผมหนึ่งขวด ผมก็รับมาแต่โดยดี (นึกอยู่ว่าทำไมตอนนี้รับวะ เป็นโค้กขวดเล็ก อ๋อ สงสัยคงกลัวเสียน้ำใจ...) มาถึงหน้าตึก นันทวัน ก็ชะเง้อมองที่โรงอาหารด้านหลังซึ่งผมมาทานประจำทุกเช้า ถ้ามาไม่สายนะ 555+ เห็นรถจอดอยู่ น่าจะเปิดนะ เห็นมีคนเดินเข้าไปด้วย เลยเดินเข้าไป วันนี้ร้านป้าที่ปกติขายก๋วยเตี๋ยว ขายข้าวแกงด้วยเนื่องจากร้านขายข้าวแกงไม่เปิด อีกร้านก็เป็นร้านขายน้ำและขนม เจ้าของร้านนี้คงเป็นคนเดียวมั้งที่คุยกับผมบ้าง(ปกติไม่ค่อยมีใครคบ) ผมก็พวกถามคำตอบคำ วันนี้ซื้อข้าวแกงหมูมะเขือเปราะ กับไข่ดาว (จริงๆ สั่งไปสามอย่าง แต่น้องคนนั้นตักให้แค่สอง) ราคา 25 บาท ถือว่าถูกมากๆ ในย่านนี้เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ ถือจานมาหยิบช้อน อ้าวช้อนหมดเหลือแต่ซ้อม กับช้อนกินก๋วยเตี๋ยว ก็ได้วะ ยาวไม่เท่ากันก็ไม่เป็นไร เราต้องยอมรับในความแตกต่าง นำไปวางที่โต๊ะซึ่งวางกระเป๋ากับขวดโค้กจองไว้แล้ว แล้วก็เดินไปซื้อไวตามิลต์ทูโกอินเบล็คอีกขวด กลับมานั่งกิน ก็มองไปรอบๆ ตึกข้างๆ ที่กำลังก่อสร้างตอนนี้ก็ทำต่อได้แล้ว ต้นไทรต้นใหญ่และต้นไม้ในสวนข้างตึกนันทวัน วันนี้มีความเหี่ยวเฉาเหมือนผ่านพายุและความแห้งแล้งที่แสนทรมารมานาน คิดในใจว่าต้นไม้ก็ยังรู้สึกได้ จู่ๆก็มีลมพัดมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้นไม้แถวนั้นปลิวไสว เหมือนตอบรับกับผมว่ารอก่อนนะ ฉันจะกลับมาเขียวขจีในอีกไม่ช้า น้ำตาผมเริ่มซึมอีกครั้ง กินข้าวไปด้วยความผะอืดผะอม โค้กขวดนี้อร่อยที่สุดตั้งแต่เคยดื่มมาเลยในชีวิต (จริงๆอะอิ่ม ก็ข้าวหนึ่งจาน น้ำอีกสองไม่อิ่มก็แย่แล้ว อิอิ) สุดท้ายเหลือหมูอีกหนึ่งชิ้น ก็เดินเอาจานไปเก็บ พร้อมกับเทเศษอาหารซึ่งก็คือหมูชิ้นนั้น วันนี้ไม่ยักกะมีลังให้ใส่ขวดแฮะ

เดินออกจากโรงอาหารเพื่อมาออฟฟิศ ฝนทำท่าว่าจะตก ก็หยิบร่มออกมาจากกระเป๋า ยกนาฬิกาเท่ๆ ที่พยากรณ์อากาศได้คร่าวๆขึ้นมาดู ก็เห็นกราฟหัวทิ่มไปช่วงนึงแต่ตอนนี้ผงกหัวขึ้นนิดหน่อยแล้วแสดงว่าอาจตกปลอยๆ กำลังจะกางก็หยุดซะงั้น ประกอบกับเดินมาจะถึงออฟฟิศแล้ว ผ่านตึก อนันตรา terrazz ก็เปิดให้บริการแล้ว เพิ่งจะรู้ไม่นานมานี้ว่าชาวบ้านเค้าเรียกบ้านราชประสงค์ ปกติรู้จักแต่บ้านสมถวิล ที่อยู่ตึกก่อนหน้า เหอๆ มาถึง villa market ซุปเปอร์มาเก็ตชั้นล่างออฟฟิศแล้ว (คิดในใจทำไมที่นี่ไม่โดนวะ ข้าวของส่วนใหญ่ก็ของนอกทั้งนั้น สงสัยอยู่ในซอย พวกนั้นคงไม่เห็น)
ขึ้นลิฟท์มาชั้น 11 ออฟฟิศของเราถึงแล้ว แล้วก็มานั่งเขียนบล็อกนี้ก่อนที่คนในแผนกจะมากัน

ปล. หมูชิ้นที่เหลือจริงๆ อะมันล้วน

Monday, April 19, 2010

การบริจาคโลหิตครั้งที่แสนเจ็บปวด

สืบเนื่องจากสงกรานต์ กลับบ้านที่สงขลา แล้วกลับมา กทม วันที่ 17 เวลา ประมาณ 4 ทุ่ม ก็เข้านอนตั้งแต่ ห้าทุ่มครึ่ง กะว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปบริจาคเลือด ครั้งที่ 10

ขอข้ามขั้นตอนการอื่นไป มาถึงตอนเจาะเลยแล้วกัน ผมก็ให้เจ้าหน้าที่เจาะแขนซ้ายเนื่องจากครั้งที่แล้ว เจาะแขนขวาไปแล้ว ปกติจะสลับอย่างนี้ทุกครั้ง เพื่อไม่ให้แขนเป็นรูพรุนอยู่ข้างเดียว ปรากฏว่าคุณเจ้าหน้าที่ก็พยายามหาเส้น จิ้มเข้าไปแล้วก็วนๆ เออ แล้ว เอะทำไม ไหลๆ หยุดๆ วะ (คำว่า วะ ผมเติมเอง) เพราะเจ้าหน้าที่บอก เหมือนจะงอแขน หรือเปล่า หรือ สายพับอยู่ ก็พยายาม ขยับถุง แล้วมานวดๆ บริเวณ รอบๆ รอยเจาะ ถามผมว่าเจ็บไหม สักพักก็เอาผ้าก็อตปิดไว้ หลวมๆ แล้วก็จากไป

สักพักคุณเจ้าหน้าที่คนเดียวก็เดินมาตรวจอีก เออมันไม่ค่อยไหลอีกแล้วอะ ก็ทำเหมือนเดิม ขยับๆ นวดๆ ถามผมอีกว่าเจ็บไหม ผมก็บอกไปว่าไม่ครับ คือแบบว่าแมนอะ อิอิ แล้ว ก็จากไปเหมือนเดิม

อีกแป๊บเดียวก็กลับมาอีก คราวนี้สีหน้าเริ่มเครียดนิดหน่อย แล้วผมก็ถามว่าเลือดไม่ค่อยไหลเหรอครับ เค้าก็ตอบว่า ค่ะ สองสามวันมานี้นอนไม่พอหรือเปล่าครับ ผมก็ตอบว่าก็ไม่นะครับ คือผมก็นึกในใจ กลับบ้านสงกรานต์ก็กินแล้วนอน กลางวันก็เล่นกับหลาน กลางคืนเหนื่อยก็หลับแต่หัวค่ำทุกวันคงไม่ใช่มั้ง หรือว่าตอนนั่งรถกลับ กทม เราก็ไม่ได้ขับนะ พี่เป็นคนขับ ผมก็หลับๆ ตื่นๆ มาตลอดทาง ออกจาก สงขลา ประมาณ 8 โมงเช้า มาถึง สามทุ่ม กว่าๆ กลับมาที่ห้องก็นอนดูทีวีแล้วก็หลับไป ตื่นอีกทีก็ 6.30 กว่า ๆ ลุกมาซักผ้าที่ค้างไว้ แล้วก็อาบน้ำเตรียมตัวไปบริจาคเลือด ออกจากห้องก็ไปหาอะไรกินก่อน ก็กินข้าวผัดรวมมิตร เพิ่มไข่เจียว ผมก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองนอนไม่พอสักนิดเดียวนะ ยอมรับว่า อาจเพลียๆ จากนั่งรถทางไกล

แต่ตอนนี้คุณเจ้าหน้าที่ ก็พยายามต่อไป มีพูดว่า ขอเปลี่ยนเส้นได้ไหม ผมก็รู้สึกนะว่า พยายามจะจิ้มมาหาเส้นข้างๆ ถามผมว่าเจ็บไหม ผมก็บอกไปว่าไม่เจ็บ ยังคงแมนอยู่ แล้วคุณเจ้าหน้าที่ก็เปลี่ยนใจ บอกไม่เอาดีกว่า หรือว่าจะเปลี่ยนข้างดีไปแขนขวาดี ถามผมว่าได้ไหม หรือว่าจะมาใหม่ครั้งต่อไปแล้วกัน ครั้งนี้ เลือดได้น้อย เอาไปให้คนไข้ไม่ได้นะค่ะ ผมก็พยักหน้า หงิกๆ ว่าครั้งหน้าก็ได้วะ แล้วคุณเจ้าหน้าที่ก็ดึงเข็มออก แล้วใช้นิ้วกดไว้ ถามผมอีกเช่นเคย เจ็บไหม ผมก็บอกไปว่าถ้ากดอะเจ็บ ตอนนี้เลิกแมนแล้ว ก็เล่นพยับๆ จิ้มด้านทีที ด้านโน้นที ตอนเข็มเสียบอยู่ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอกพอเอาออกแล้วใช้นิ้วกด มันเจ็บวะ (นึกในใจ แขนกูเขียวปั๊ดแน่เลย จะยกแขนขึ้นป่าววะ การบริจาคเลือดครั้งที่ 10 ของผมมมมมมมโดนขีดค่า อย่างไม่ไยดี ฮือๆ )

นึกในใจ มึงเจาะเป็นป่าววะ หาว่าเลือดเราไม่ไหลเนี่ย เอาเลือดไปครึ่งถุงแล้วบอกเอาไปใช้ไม่ได้ ยังจะเจาะอีกแขนอีก อยากจะบอกจริงๆ ว่าได้ แต่เปลี่ยนคนเจาะได้ไหม? ... ฤกษ์ไม่ดีแล้วค่อยคราวหน้าก็ได้วะ พอเดินออกมา เออวันนี้เค้าแจกเสื้อยืดสุดเท่ห์ด้วยแฮะ อดเลยตูแถมเจ็บตัวฟรีอีกตังหาก บุญก็ไม่ได้ ทายาทคนที่ 10 ก็ไม่มี ฮือๆ คิดแล้วช้ำใจ ปีที่ 25 ของเราทำไมมันมีแต่เรื่องไม่ดีวะ ตั้งแต่ต้นปีแล้วเนี่ย ฮือๆ

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า กรุณาอย่าใช้ผมเป็นหนูฝึกหัดของเจ้าหน้าที่ใหม่ๆ เด้อ เล่นตูซะเขียว... แล้วครั้งหน้าจะกรอกในฟอร์มว่าไงล่ะ... การบริจาคครั้งที่แล้ว 1.เป็นลม 2. เขียวช้ำ 3.เลือดไม่ค่อยไหล 4. เจ้าหน้าทีเจาะไม่เป็น...

Tuesday, October 27, 2009

แผ่นดินไทย

ในหัวข้อนี้ผมตั้งใจจะให้มีมานานแล้วคือ จังหวัด ที่ผมไปเที่ยวมาแล้วทั้งหมดในประเทศไทย ซึ่งในความฝันของผมก็คือการได้ไปเที่ยวในทุกจังหวัดครับ

ภาคใต้ (14 จังหวัด)
1.สงขลา (อันนี้อยู่มาตั้งแต่เกิด)
2.ตรัง (หาด... จำชื่อไม่ได้, ถ้ำลอด)
3.ปัตตานี (ไปงานขึ้นบ้านใหม่, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี)
10.นครศรีธรรมราช (จำได้แต่ว่าเป็นภูเขา มีถ้ำ ข้างไหนมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ )
20.พัทลุง (ทะเลน้อย)

ภาคตะวันตก (5 จังหวัด)
11.ประจวบคีรีขันธ์ (อ่าวมะนาว, บางสะพานน้อย)
12.กาญจนบุรี (น้ำตกเอราวัณ)

ภาคกลาง (21 จังหวัด)
4.กรุงเทพมหานคร (อันนี้อยู่มาครึ่งชีวิต และคิดว่าคงอยู่อีกนาน) (จริงๆ แล้วไม่นับเป็นจังหวัด แต่เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณ)
5.อยุธยา (วัด ... เยอะมาก)
6.ลพบุรี (ที่มีทุ่งทานตะวัน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อะครับ)
7.สมุทรสาคร (วัดเกตุมวดี ...)
8.สมุทรปราการ (เมืองโบราณ)
14.พิจิตร (บ้านเพื่อนพงษ์, วัดท่าหลวง เป็นจังหวัดที่ไม่ค่อยมีที่เที่ยวเลยจริงๆ ขอเน้น)
17.สุพรรณบุรี (บึงฉวาก)
18.เพชรบุรี (แก่งกระจาน ไปกับบริษัท ไม่ได้ขึ้นไปกางเต้นท์ เลย ไปล่องแก่งอยากเดียว อยากไปตอนหน้าหนาว, ชะอำ)
21.ปทุมธานี (อันนี้ไป ธรรมศาสตร์ รังสิต เหอๆ ที่เที่ยวก็ไม่ค่อยมี หรือว่าเราไม่รู้...)
22.นครปฐม (พระปฐมเจดีย์)
23.สมุทรสงคราม (อัมพวา)
24.สระบุรี (ทุ่งทานตะวันกับเขื่อนป่าสัก เหมือนกับ ลพบุรี เพราะติดกัน)
25.ฉะเชิงเทรา (ตลาดคลองสวน ๑๐๐ ปี, วัดโสธร)
26.ราชบุรี (ไหว้พระ ๙ วัด , ตลาดน้ำคลองลัดพลี)
27.อ่างทอง (งานแต่งพี่กฤษ, ร้านอาหารคลองบุญ)
28.นครนายก (วังยาว, เขื่อนขุนด่านปราการชล)

ภาคตะวันออก (7 จังหวัด)
9.ชลบุรี (บางแสน, อ่างศิลา, เขาสามมุข)
13.ตราด (เกาะกูด, เกาะช้าง)

ภาคเหนือ (9 จังหวัด)
15.เชียงใหม่ (สวนสัตว์เชียงใหม่ ไปดูแพนด้า ฮอตมากมาก, ดอยสุเทพ, ถนนคนเดิน)
16.แม่ฮ่องสอน (ปาย ชอบมากอยากไปอีก)

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (20 จังหวัด)
19.เลย (ภูกระดึง)

รวมทั้งหมดตอนนี้ 78 - 28 เหลืออีก 50 จังหวัดเท่านั้นครับ :)
จังหวัดต่อไป ---> เชียงราย