Sunday, December 25, 2011

7 วันก็บรรลุอรหันต์ได้?

   เมื่อผมถึงคราวบวชหลังจากที่ต้องเลื่อนมาหนึ่งปีเนื่องจากมีการเปลี่ยนงานกะทันหัน จนอายุครบ 26 ปีบริบูรณ์ พอทำงานใหม่ครบ 1 ปีปุ๊บ ผมก็ใช้สิทธิลาอุปสมบททันทีโดยเลือกลาในช่วงเดือนธันวาคม เนื่องจากช่วงนี้งานค่อนข้างน้อย จะได้ไม่กระทบกันทีมตรวจมาก เป็นเดือนธันวา มีวันพ่อ และวันหยุด ทั้งยังใกล้ปีใหม่ เหมือนกับปีหน้าฟ้าใหม่จะได้พบกับสิ่งดีดีในชีวิต และประการที่สำคัญที่สุดคือเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา ที่ตอนนี้ยังพอที่จะไปวัดไหวอยู่ พ่อได้บอกฤกษ์ที่ไปปรึกษาพระที่วัดแล้วก็ปรากฎว่าได้บวชจริงแค่ 7 วัน คือ บวชในวันที่ 3 ธันวา สึกวันที่ 10 ธันวา ผมเองก็นึกในใจน้อยจังเนอะแค่อาทิตย์เดียวเอง แต่ก็ไม่เป็นไร หากเราตั้งใจทุกอย่างมันก็คงดีไม่ต่างกัน

 วันก่อนวันสิ้นเดือนนัดเจอเพื่อนที่เรียกว่าสนิทที่สุดแล้วมั้งมีกันอยู่ไม่กี่คนที่ Terminal 21 เนื่องจากจะร่วมอนุโมทนาบุญด้วย ก็ไปทานข้าวกัน ผมเองยังรู้สึกไม่ดียังไงไม่รู้ที่วันนั้นไม่ได้เลี้ยง เฮ้อ... รับบุญไปอย่างเดียวแล้วกัน อิอิ

  วันเวลาผ่านมาจนจะถึงวันบวช ผมเองก็อ่านหนังสือ พร้อมท่องบางบทเอาไว้ ตอนพี่ธีจริงและโหลดเสียงสวดมาเก็บไว้ฟังด้วย แม้จะยังจำบทท่องไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็พอที่จะรู้ขั้นตอนทั้งหมด วันที่ 30 พฤศจิกายน ก่อนที่ออกเดินทางกลับบ้านในวันที่ 1 พี่คม พี่ที่ออฟฟิศ ก็ได้จัดแจง พานดอกไม้ธูปเทียนให้ผม พร้อมทั้งพาไปกราบขอขมาผู้หลักผู้ใหญ่ในสำนัก ที่ทำงานด้วย มีปั้นเพื่อนที่สำนักคอยเก็บภาพแห่งความทรงจำให้ ผมเองก็รู้สึกดีนะ แม้จะเขินๆ อยู่บ้าง เพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้ รู้สึกขอบคุณพี่เค้าด้วยใจจริงที่ทำให้การบวชของผมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น พี่บีได้มอบหนังสือนวโกวาทและผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้ไปใช้ในพิธีด้วย พี่ๆน้องๆ เพื่อนๆ ก็ได้อนุโมทนาบุญมาด้วย

  ตีสี่วันที่ 1 ธันวา ผมรีบตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว เพื่อไปสนามบินให้ทันไฟลท์ตอน หกโมง เครื่องออกตอน หกโมงยี่สิบ แต่ดีหน่อยที่ผมทำเวบเช็คอินมาแล้ว การเดินทางครั้งนี้แม้จะเดินทางลำพัง ไม่มีพี่ๆของผมที่ติดภาระหลายๆ อย่างบ้านก็ยังน้ำท่วมอยู่ แต่ก็ได้ช่วยออกค่าใช้จ่ายต่างๆให้ผมมาแบบผมไม่ต้องออกอะไรเลย รู้สึกดีมาก 555 ไปยืนรอรถตู้ที่แยกบางนาแบบมืดๆ มีคนยืนรอด้วย สงสัยไปสนามบินเหมือนกัน สักพักรถก็มาแต่ดันไปจอดซะไกล ไอ้เราก็ไม่เห็นป้ายว่ารถไปไหน แต่เห็นคนอื่นวิ่งไปขึ้นแล้วเราจะช้าอยู่ไยวิ่งตามสิครับ 555 ปรากฎว่าใช่จริงๆด้วยแฮะ ค่ารถถูกมากกกก คิดถูกแล้วเรา แต่เพิ่งเคยเห็นคนโหนรถตู้ก็วันเนี้ย อัดกันเข้ามาซะเต็มดีนะที่เราขึ้นต้นทาง แสดงว่ารถมันคงมีน้อย คนที่ทำงานที่สนามบินคงไม่อยากรอนานกัน ก็มาถึงสนามบินแบบชิลชิล เราก็เดินไปหาเทอมินอล แม่เจ้าอยู่ซะไกล ตูลงประตูผิดนี่เอง เหอๆ แต่ดีที่ผมไม่ค่อยมีสำภาระอะไรอยู่แล้ว เป้เบาๆใบนึง ก็ผ่านด่านตรวจสบายๆ เดินหาเกทสักพักก็นึง เสือกปวดขี้อีกกู แต่เวลายังมีอีก 15 นาที โคล้ก....  สบายแล้วเรา 555 พอดีเป๊ะ

  เดินทางถึงสนามบินหาดใหญ่ตามเวลาแปดโมงกว่าๆ นั่งรถสองแถวเข้าเมืองกะว่าจะไปแวะตลาดกิมหยงและหาอะไรกินมื้อเช้า ปรากฎว่าช่างเลือกจริงๆ ไปกินร้านก๋วยเตี๋ยวที่เปิด DMC พอดิบพอดี บรรยากาศมันเป็นใจให้เราจริงๆ กลับถึงบ้านเอาเกือบบ่ายโมง เนื่องจากไปได้ไปรอบเก้าโมงครึ่ง แต่รถตู้ไปส่งถึงหน้าบ้านเลยเวิคมากก

  ก่อนวันบวชก็ไปที่วัดให้น้าหลวงหงวน ประเดิมตัดผมให้ ประเด็นมันอยู่ตรงที่ต้องถอดเสื้อนี่แหละ สาวใหญ่กรี๊ด ทำไมหลังแกลายได้เยี่ยงนี้ 555 ไอ้เราก็อายจนไม่อายไปเลย ไม่มีอะไรต้องอายอีกแล้ว แล้วกลับมาตัดกันต่อที่บ้าน ทุกๆ คนก็รุมกันใหญ่ หลังจากนั้น น้าเวียนช่างตัดผมประจำหมู่บ้านเชิงแส ก็ใช้บัตตะเลี่ยนรุนสองสามทีก็เกลี้ยงเกลา ผมเองรู้สึกประหลาดๆก็ตรงคิ้วนี่แหละ ไม่ค่อยจะชิน

  ในวันงานมีคณะกลองยาวที่แม่รับมา ตามที่ได้เคยบนเอาไว้ ว่าหากลูกสอบได้งานหลวงจะรับกลองยาว และรำรอบโบสก์ 555  แม่เราเอาจริง มีคนในหมู่บ้านบางคนก็มาร่วมรำด้วย บรรยากาศครึกครื้นใช่ย่อย พอบรรยากาศเริ่มได้ ผมเองรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก น้ำตาก็พาลจะไหลเอาให้ได้ เห็นพ่อกับแม่แล้วรู้สึกดีใจมากที่วันนี้มาถึงซะที

  วันนี้มีคนมาบวชพร้อมผม สี่คน ต่างคนก็ต่างไปจำวัดกันคนละที่ แน่นอนว่าผมเลือกวัดใกล้บ้าน ผมก็ปฏิบัติกิจของสงฆ์ไปตาม ปกติ ที่วัดมีพระแค่สี่รูป น้าหลวงหงวนเจ้าอาวาส น้าหลวงชา แล้วก็หลวงอ้อย ซึ่งแกเจ็บ ออดๆแอดๆ ออกไปอยู่กุฏิ ที่ไกลออกไปจากองค์อื่น ผมเองได้พบหน้าครั้งเดียวก็ตอนน้าหลวงชาให้นำของไปให้ ก็มีน้าหลวงชานี่แหละที่ฉันเช้าและเที่ยงกับผม และได้ปรึกษาธรรมอยู่บ้าง หลวงชาได้ให้หนังสือของท่านพุทธทาสมาหลายเล่มเพื่อศึกษาในระหว่างครองบรรพชิต ซึ่งผมพอที่จะสรุปเป็นประเด็นที่ผมสนใจในเจ็ดวันได้ดังนี้

  • สู่ความว่าง(สุญญตา) -> นิพพาน
  • ประพฤติพรหมจรรย์ให้สะอาดเหมือนสังข์ที่ขัดดีแล้ว (พรหมจรรย์ -> ศีล สมาธิ ปัญญา)
  • บอกวัตรสำหรับภิกษุมีชื่อดาว 27 ดวง
  • ไม่ดูถูกว่าเล็กน้อย
  • การฆ่าคนคือการไม่ยุ่งด้วย (ธรรมวินัย)
  • เกิดมาทำไม?
  • มนุษย์ที่มีความทุกข์ไม่เป็น (ลูกของพระพุทธเจ้า)
  • ฟืนและขี้เถ้า
  • มนต์มณิกา, มณิกามนต์
  • สัพเพ ธัมมา นาลัง อะภินีเวสาะย (พิมพ์แบบบาลีไม่ได้) สิ่งทั้งหลายทั้งปวง อันบุคคลไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นตัวเราของเรา (หัวใจพระพุทธศาสนา)
  • สมรสคือมีความปรารถนา มีความต้องการที่ถูกต้อง แล้วร่วมเป็นอันเดียวกัน

โลก -> ทุกข์
เหตุให้เกิดโลก -> ตัวเหตุให้เกิดโลก
ความดับสนิทของโลก -> ความดับสนิทของความทุกข์
หนทางให้ถึงความดับสนิทของโลก -> วิธีทางทำให้ถึงความดับสนิทของความทุกข์
  • เวทนา (Feeling) สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์
  • นิวรณ์ (อวิชชามีนิวรณ์เป็นอาหาร)
  • กรรมดี กรรมชั่ว เป็นเรื่องศีลธรรมไม่ใช่พุทธศาสนา
  • ขันธ์ ๕
  • กรรม <- กิเลส <- ผัสสะ
  • เวทนา(ผล) <- ผัสสะ -> อายตนะข้างใน (หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ)
  •                                ->อายตนะภายนอก (รูป รส กลิ่น เสียง)
  • ภาษาคน - ภาษาธรรม(ไม่มีคน มีแต่ธรรมชาติ) 
  • ตนนั้นเป็นมายา ไม่ใช่คนจริง
  • ทำดี มันดีแน่ ทำชั่ว มันชั่วแน่ (อย่างอื่นผล)
  • ชั่วตาเห็นรูป นี่คือชาตินึง
  • ปฏิกิจจสมุปปันนธรรม คือ ธรรมชาติเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย
  • อวิชชาให้เกิดสังขาร   สังขารให้เกิดวิญญาณ
  • อายตนะเป็นเครื่องมือสำหรับกระทบ
  • ปฏิจจสมุปบาท
  • วิมุตติ ความรู้ที่จะช่วยให้ไม่เกิดความทุกข์
  • พรหมจรรย์นี้มีวิมุตติเป็นจุดที่หมายอานิสงค์
  • เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
  • ปัจจเวกขณ์ คือ เอาหัวใจของพระพุทธศาสนามาพิจารณา มาทำให้อยู่กับเนื้อกับตัวกับจิตใจ
  • พรหมจรรย์ คือ ประพฤติ ประเสริฐที่สุด  การประพฤติปฏิบัติทั้งหมดในพระศาสนา เพื่อไปนิพพาน
  • หลักกาลามสูตร
  • สามัญญลักษณะ (อนิจจัง ไม่เที่ยง, ทุกขัง ทุกข์, อนัตตา ไม่ใช่ตน)
      อิทัง โน ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตโย
 ขอเดชะตั้งจิตอุทิศผล               บุญกุศลนี้แผ่ไปให้ไพศาล
ถึงบิดามารดาครูอาจารย์            ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน
คนเคยร่วมกิจการงานทั้งหลาย   มีส่วนได้ในกุศลผลบุญฉัน
ทั้งเจ้ากรรมนายเวณและเทวัญ    ขอให้ท่านได้กุศลผลนี้ เทอญ


สำหรับเรื่องที่ผิดพลั้งเผลอไปบ้างระหว่างครองบรรพชิตคือ

  • เผลอร้องเพลง
  • ฟุ้งซ่าน คิดถึงผู้หญิง, งาน, ที่เที่ยว, ของฝาก, รูปถ่าย ...
  • ทำฝาบาตรหล่น
  • เก็บใบกล้วยแห้งมาเผา
  • จัดการปลวกที่ขึ้นในโบสถ์

   กิจวัตรระหว่างเป็นพระของผมส่วนใหญ่ก็ศึกษาพระธรรมวินัย และธรรมมะซะส่วนมาก นอนประมาณ สองทุ่มตื่นประมาณตีห้า อาบน้ำ ครองผ้า เตรียมตัวไปไปบิณฑบาตทุกเช้า ตอนหกโมงครึ่ง (ตอนวันพ่อไปบิณฑบาตที่วัดกลาง ของเยอะมาก ได้ซองมาด้วย 5555) มีไปช่วยน้าหลวงชา และเด็ก ทำความสะอาดวัดบ้าง แต่บรรยากาศในวันมันช่างเงียบสงบดีจริงๆ จนกระทั่ง มีงานศพเข้ามาวันหลังๆแล้ว ผมยังคงจำบทสวดไม่ค่อยจะได้อาศัยเปิดตำราอย่างเดียว T_T  มีอยู่คืนหนึ่งกีต้า เจ้าหลานตัวซนมานอนด้วยซะงั้น ผมก็เพิ่งรู้นะว่าหลานมันอยู่อนุบาล วัย ห้าหกขวบ มันบวกเลข ลบเลขได้แล้ว เก่งกว่ากูอีก 555  ตอนที่มีงานศพน้าหลวงชา แกจะให้ผมขึ้นสวดด้วย แกบอกกางตำราก็ได้ เป็นประสบการณ์ ไอ้เราก็เกรงใจญาติโยม เค้านะ แทนที่จะได้บุญกลัวจะได้บาปเสียมากกว่า ฮ่าๆ เลยปฏิเสธไป


   การได้พูดคุยกับน้าหลวงชาและเห็นกิจวัตรของแกที่เกี่ยวข้องกับเด็กๆ ทำให้ผมคิดไปเองว่า แกก็เป็นคนใช้ได้เหมือนกันนะ เลือกใช้ชีวิตเป็นพระในวัยหลังเกษียณได้ตามที่แกมุ่งหวังได้ดี แถมยังเข้าใจธรรมอย่างดีกว่าพระที่อายุมากๆ บวชมานานเสียอีก จะว่าไปผมเพิ่งเข้าใจคำว่าพระมาโปรดก็ตอนบวชนี่แหละ และเพิ่งรู้ว่าพระเค้าเคารพกันที่พรรษาว่ามากหรือน้อย โดยหากนับตามคนทั่วไปคือ 3 เดือน แต่หากนับแบบพระคือครบรอบปีวนมาถึงเข้าพรรษาคือครบรอบปี

   วันก่อนลาสิกขา จิตใจผมมันกระวนกระวาย ไม่เป็นสมาธิเหมือนวันอื่นๆ ผมก็อาศัย เดินวนไปมาในกุฏิเพื่อทำสมาธิก็พอช่วยได้บ้าง มีดนตรีจากงานศพในวัดมาช่วยเพิ่มจังหวะให้ พอถึงวันสึก ผมยังจำได้ดีตอนเก้าโมงเช้างานศพในวัดเปิดเพลงกระเป๋าแบนแฟนทิ้งและเพลงของจินตหรา มันช่างเข้ากับบรรยากาศเสียนี่กะไร

   อย่างน้อยการอุปสมบทของผมในครั้งนี้ก็ทำให้ผมเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง ว่าที่จริงแล้วการบวชของเรา เราไม่ได้ได้ฝ่ายเดียว ยังมีคนอีกมากมายที่ร่วมอนุโมทบุญกับเรา ทำให้เราพร้อมออกมาเผชิญโลกนี้อย่างเข้มแข็งต่อไป

ภาพ -> http://www.facebook.com/media/set/?set=a.2826045298605.2150379.1483223715&type=1&l=b827cb19ea
กระดาษจดบันทึกของผมระหว่างเป็นพระ


No comments: